หลักการใช้คำ,สัญลักษณ์,เครื่องหมายในการสืบค้นข้อมูล
- การใช้เครื่องหมายบวก (+) เชื่อมคำ
โดยปกติ Google จะไม่ใส่ใจในในการค้นหาข้อมูลจากการพิมพ์ Keyword ประเภท Common Word( คำง่ายๆ ) เช่น at, with, on, what, when, where, how, the, to, of แต่เนื่องจากเป็นบางครั้งคำเหล่านี้เป็นคำสำคัญของประโยคที่ผู้ใช้จำเป็น ต้องค้นหา ดังนั้นเครื่องหมาย + จะช่วยเชื่อมคำ โดยมีเงื่อนไข ว่า ก่อนหน้าเครื่องหมาย + ต้องมี การเว้นวรรค 1 เคาะด้วย เช่น หากต้องการค้นหาเว็บไซต์เกี่ยวกับเกมส์ที่มีชื่อว่า Age of Empire ถ้าผู้ใช้พิมพ์ Keyword Age of Empire Google ก็จะทำการค้นหาแยกคำโดย ไม่สนใจคำว่า of และจะค้นหาคำว่า Age หรือ Empire เพียงสองคำ แต่ถ้าผู้ใช้ระบุว่า Age +of Empire Google จะทำการค้นหาทั้งคำว่า Age, of และ Empire
- การใช้เครื่องหมายบวก (+) เชื่อมคำ
โดยปกติ Google จะไม่ใส่ใจในในการค้นหาข้อมูลจากการพิมพ์ Keyword ประเภท Common Word( คำง่ายๆ ) เช่น at, with, on, what, when, where, how, the, to, of แต่เนื่องจากเป็นบางครั้งคำเหล่านี้เป็นคำสำคัญของประโยคที่ผู้ใช้จำเป็น ต้องค้นหา ดังนั้นเครื่องหมาย + จะช่วยเชื่อมคำ โดยมีเงื่อนไข ว่า ก่อนหน้าเครื่องหมาย + ต้องมี การเว้นวรรค 1 เคาะด้วย เช่น หากต้องการค้นหาเว็บไซต์เกี่ยวกับเกมส์ที่มีชื่อว่า Age of Empire ถ้าผู้ใช้พิมพ์ Keyword Age of Empire Google ก็จะทำการค้นหาแยกคำโดย ไม่สนใจคำว่า of และจะค้นหาคำว่า Age หรือ Empire เพียงสองคำ แต่ถ้าผู้ใช้ระบุว่า Age +of Empire Google จะทำการค้นหาทั้งคำว่า Age, of และ Empire
- ตัดบางคำที่ไม่ต้องการค้นหาด้วยเครื่องหมายลบ ( - )
จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถตัดเรื่องที่ผู้ใช้ไม่ต้องการ หรือไม่เกี่ยวข้องออกไปได้ เช่น ถ้าผู้ใช้ ต้องการค้นหาเว็บไซต์ที่เกี่ยวกับการ ล่องแก่ง แต่ไม่ต้องการ การล่องแก่งที่เกี่ยวข้อง กับจังหวัดตาก ให้ผู้ใช้พิมพ์ Keyword ว่า ล่องแก่ง -ตาก (เช่นเดียวกับเครื่องหมาย + ต้องเว้นวรรคก่อนหน้าเครื่องหมายด้วย) Google จะทำการค้นหาเว็บไซต์ที่เกี่ยวกับการ ล่องแก่ง แต่ไม่มีจังหวัดตากเข้ามาเกี่ยวข้อง
จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถตัดเรื่องที่ผู้ใช้ไม่ต้องการ หรือไม่เกี่ยวข้องออกไปได้ เช่น ถ้าผู้ใช้ ต้องการค้นหาเว็บไซต์ที่เกี่ยวกับการ ล่องแก่ง แต่ไม่ต้องการ การล่องแก่งที่เกี่ยวข้อง กับจังหวัดตาก ให้ผู้ใช้พิมพ์ Keyword ว่า ล่องแก่ง -ตาก (เช่นเดียวกับเครื่องหมาย + ต้องเว้นวรรคก่อนหน้าเครื่องหมายด้วย) Google จะทำการค้นหาเว็บไซต์ที่เกี่ยวกับการ ล่องแก่ง แต่ไม่มีจังหวัดตากเข้ามาเกี่ยวข้อง
- การค้นหาด้วยเครื่องหมายคำพูด ("...")
เหมาะสำหรับการค้นหาคำ Keyword ที่มีลักษณะเป็น ประโยควลีหรือกลุ่มคำ ที่ผู้ใช้ ต้องการให้แสดงผลทุกคำในประโยค โดยไม่แยกคำ เช่น ถ้าผู้ใช้ต้องการหาเว็บไซต์ เกี่ยวกับเพลงที่มีชื่อว่า If I Let You Go ให้พิมพ์ว่า " If I Let You Go" Google จะทำการค้นหาประโยค " If I Let You Go" ทั้งประโยคโดยไม่แยกคำค้นหา
เหมาะสำหรับการค้นหาคำ Keyword ที่มีลักษณะเป็น ประโยควลีหรือกลุ่มคำ ที่ผู้ใช้ ต้องการให้แสดงผลทุกคำในประโยค โดยไม่แยกคำ เช่น ถ้าผู้ใช้ต้องการหาเว็บไซต์ เกี่ยวกับเพลงที่มีชื่อว่า If I Let You Go ให้พิมพ์ว่า " If I Let You Go" Google จะทำการค้นหาประโยค " If I Let You Go" ทั้งประโยคโดยไม่แยกคำค้นหา
- การค้นหาด้วยคำว่า OR
เป็นการสั่งให้ Google ค้นหาข้อมูลเพิ่มมากขึ้น เช่น ถ้าผู้ใช้ต้องการค้นหาเว็บไซต์ที่ เกี่ยวกับ การล่องแก่ง ทั้งในจังหวัดตาก และปราจีนบุรี ให้ผู้ใช้พิมพ์ Keyword ว่า ล่อง แก่ง ตาก OR ปราจีนบุรี Google จะทำการค้นหาเว็บไซต์ที่เกี่ยวกับการล่องแก่งทั้งใน จังหวัดตาก และกาญจนบุรี
เป็นการสั่งให้ Google ค้นหาข้อมูลเพิ่มมากขึ้น เช่น ถ้าผู้ใช้ต้องการค้นหาเว็บไซต์ที่ เกี่ยวกับ การล่องแก่ง ทั้งในจังหวัดตาก และปราจีนบุรี ให้ผู้ใช้พิมพ์ Keyword ว่า ล่อง แก่ง ตาก OR ปราจีนบุรี Google จะทำการค้นหาเว็บไซต์ที่เกี่ยวกับการล่องแก่งทั้งใน จังหวัดตาก และกาญจนบุรี
- ไม่ต้องใช้คำว่า " AND" ในการแยกคำค้นหา
แต่เดิมการใช้ Keyword ที่มากกว่า 1 คำในการค้นหาเว็บไซต์แบบแยกคำ ผู้ใช้ จำเป็นต้องใช้ AND ในการแยกคำเหล่านั้น ปัจจุบันไม่ต้องใช้ AND แล้ว เพราะ Google จะทำการแยกคำให้โดยอัตโนมัติเมื่อผู้ใช้ทำการเว้นวรรคคำเหล่านั้น เช่น ถ้า ผู้ใช้พิมพ์คำว่า Thai Travel Nature เมื่อคลิกปุ่มค้นหา ก็จะพบว่าในรายชื่อหรือ เนื้อหาของเว็บที่ปรากฏจะมีคำว่า Thai ,Travel และ Nature อยู่ในนั้นด้วย
แต่เดิมการใช้ Keyword ที่มากกว่า 1 คำในการค้นหาเว็บไซต์แบบแยกคำ ผู้ใช้ จำเป็นต้องใช้ AND ในการแยกคำเหล่านั้น ปัจจุบันไม่ต้องใช้ AND แล้ว เพราะ Google จะทำการแยกคำให้โดยอัตโนมัติเมื่อผู้ใช้ทำการเว้นวรรคคำเหล่านั้น เช่น ถ้า ผู้ใช้พิมพ์คำว่า Thai Travel Nature เมื่อคลิกปุ่มค้นหา ก็จะพบว่าในรายชื่อหรือ เนื้อหาของเว็บที่ปรากฏจะมีคำว่า Thai ,Travel และ Nature อยู่ในนั้นด้วย
- Google จะไม่ใส่ใจใน Common Word
คำศัพท์พื้นๆ อย่าง the, where, is, how, a, to และอื่นๆ รวมทั้งตัวเลขและตัวอักษร เดี่ยวๆ Google มักไม่ให้ความสำคัญและใส่ใจที่จะค้นหาครับ เนื่องจากเครื่องมือที่ Google ใช้จัดเก็บและรวบรวมเว็บทั่วโลกจะค่อนข้างเสียเวลาในการเก็บรวบรวมเว็บที่มี คำเหล่านี้ (ซึ่งมีเยอะมากๆ) แต่ถ้าหากจำเป็น ผู้ใช้จะต้องใช้เครื่องหมาย " + " ในการ เชื่อมคำเหล่านี้ด้วย หรืออีกทางก็คือผู้ใช้อาจจะระบุคำที่ต้องค้นหาทั้งหมดในรูป ของวลีภายใต้เครื่องหมาย " ……. "
การสืบค้นข้อมูล,ไฟล์เอกสาร, รูปภาพ, แผนที่, เว็บไซต์
- Google ค้นหาไฟล์ได้ Google สามารถค้นหาไฟล์เอกสารที่สำคัญๆ ได้ดังนี้
Adobe Portable Document Format ( ไฟล์นามสกุล . pdf)
Adobe PostScript ( ไฟล์นามสกุล . ps)
Lotus 1-2-3 ( ไฟล์นามสกุล . wk1, .wk2, .wk3, .wk4, .wk5, .wki, .wks และ . wku)
Lotus WordPro ( ไฟล์นามสกุล . lwp)
MacWrite ( ไฟล์นามสกุล . mw)
Microsoft Excel ( ไฟล์นามสกุล . xls)
Microsoft PowerPoint ( ไฟล์นามสกุล . ppt)
Microsoft Word ( ไฟล์นามสกุล . doc)
Microsoft Works ( ไฟล์นามสกุล . wks, .wps, .wdb)
Microsoft Write ( ไฟล์นามสกุล . wri) Rich Text Format ( ไฟล์นามสกุล . rtf)
Shockwave Flash ( ไฟล์นามสกุล . swf)
Text ( ไฟล์นามสกุล . ans, .txt)
รูปแบบของการค้นหาคือ ให้ผู้ใช้พิมพ์ "ชื่อเรื่องหรือชื่อเอกสาร" filetype: นามสกุลของ ไฟล์ ในช่อง Google ตัวอย่างเช่น "การเลี้ยงไก่" filetype:doc ซึ่งหมายถึง การ ค้นหาไฟล์เอกสารที่มีนามสกุล . doc เรื่อง การเลี้ยงไก่ นั่นเอง
คำศัพท์พื้นๆ อย่าง the, where, is, how, a, to และอื่นๆ รวมทั้งตัวเลขและตัวอักษร เดี่ยวๆ Google มักไม่ให้ความสำคัญและใส่ใจที่จะค้นหาครับ เนื่องจากเครื่องมือที่ Google ใช้จัดเก็บและรวบรวมเว็บทั่วโลกจะค่อนข้างเสียเวลาในการเก็บรวบรวมเว็บที่มี คำเหล่านี้ (ซึ่งมีเยอะมากๆ) แต่ถ้าหากจำเป็น ผู้ใช้จะต้องใช้เครื่องหมาย " + " ในการ เชื่อมคำเหล่านี้ด้วย หรืออีกทางก็คือผู้ใช้อาจจะระบุคำที่ต้องค้นหาทั้งหมดในรูป ของวลีภายใต้เครื่องหมาย " ……. "
การสืบค้นข้อมูล,ไฟล์เอกสาร, รูปภาพ, แผนที่, เว็บไซต์
- Google ค้นหาไฟล์ได้ Google สามารถค้นหาไฟล์เอกสารที่สำคัญๆ ได้ดังนี้
Adobe Portable Document Format ( ไฟล์นามสกุล . pdf)
Adobe PostScript ( ไฟล์นามสกุล . ps)
Lotus 1-2-3 ( ไฟล์นามสกุล . wk1, .wk2, .wk3, .wk4, .wk5, .wki, .wks และ . wku)
Lotus WordPro ( ไฟล์นามสกุล . lwp)
MacWrite ( ไฟล์นามสกุล . mw)
Microsoft Excel ( ไฟล์นามสกุล . xls)
Microsoft PowerPoint ( ไฟล์นามสกุล . ppt)
Microsoft Word ( ไฟล์นามสกุล . doc)
Microsoft Works ( ไฟล์นามสกุล . wks, .wps, .wdb)
Microsoft Write ( ไฟล์นามสกุล . wri) Rich Text Format ( ไฟล์นามสกุล . rtf)
Shockwave Flash ( ไฟล์นามสกุล . swf)
Text ( ไฟล์นามสกุล . ans, .txt)
รูปแบบของการค้นหาคือ ให้ผู้ใช้พิมพ์ "ชื่อเรื่องหรือชื่อเอกสาร" filetype: นามสกุลของ ไฟล์ ในช่อง Google ตัวอย่างเช่น "การเลี้ยงไก่" filetype:doc ซึ่งหมายถึง การ ค้นหาไฟล์เอกสารที่มีนามสกุล . doc เรื่อง การเลี้ยงไก่ นั่นเอง
- เว็บไซต์ที่ถูกลบไปแล้ว Google ก็ยังค้นหาได้อยู่
เพราะก่อนหน้านี้เว็บไซต์ที่ถูกลบเหล่านั้นได้ถูกบรรจุหรือจัดเก็บไว้ในเครื่องที่เรียกว่า Cache ของ Google ไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้วนั่นเองครับ เช่น บางลิงค์ที่ผู้ใช้งานคลิกเข้า ชมไม่ได้อันเนื่องมาจากถูกลบออกไปแล้ว ผู้งานก็เพียงแต่คลิกที่เมนู หน้าที่ถูกเก็บไว้
- ค้นหาหน้าเว็บที่มีข้อมูลคล้ายกันได้
ในบางครั้งเมื่อ Cache จะไม่สามารถช่วยผู้ใช้ค้นหาเว็บไซต์นั้นได้ แต่ผู้ใช้งานสามารถ ค้นหาเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาคล้ายกัน โดคลิกไปยังเมนู หน้าที่คล้ายกัน
- ค้นหารูปภาพ
ความสามารถที่ผู้ใช้ส่วนใหญ่ชอบกันนัก และสร้างชื่อให้กับ Google ก็คือการค้นหา รูปภาพด้วย Google Search วิธีการใช้ก็คือ
1. คลิกเมนูกลิ้ง รูปภาพ จากนั้นก็พิมพ์ชื่อภาพที่ต้องการค้นหา และคลิกปุ่ม ค้นหารูปภาพ ดังรูป
เพราะก่อนหน้านี้เว็บไซต์ที่ถูกลบเหล่านั้นได้ถูกบรรจุหรือจัดเก็บไว้ในเครื่องที่เรียกว่า Cache ของ Google ไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้วนั่นเองครับ เช่น บางลิงค์ที่ผู้ใช้งานคลิกเข้า ชมไม่ได้อันเนื่องมาจากถูกลบออกไปแล้ว ผู้งานก็เพียงแต่คลิกที่เมนู หน้าที่ถูกเก็บไว้
- ค้นหาหน้าเว็บที่มีข้อมูลคล้ายกันได้
ในบางครั้งเมื่อ Cache จะไม่สามารถช่วยผู้ใช้ค้นหาเว็บไซต์นั้นได้ แต่ผู้ใช้งานสามารถ ค้นหาเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาคล้ายกัน โดคลิกไปยังเมนู หน้าที่คล้ายกัน
- ค้นหารูปภาพ
ความสามารถที่ผู้ใช้ส่วนใหญ่ชอบกันนัก และสร้างชื่อให้กับ Google ก็คือการค้นหา รูปภาพด้วย Google Search วิธีการใช้ก็คือ
1. คลิกเมนูกลิ้ง รูปภาพ จากนั้นก็พิมพ์ชื่อภาพที่ต้องการค้นหา และคลิกปุ่ม ค้นหารูปภาพ ดังรูป
2. จะปรากฏรูปภาพทั้งหมดที่ต้องการดังรูป
- ค้นเนื้อหาข้อมูลในเว็บไซต์ที่ต้องการ
ผู้ใช้สามารถค้นหาข้อมูลเฉพาะในเว็บไซต์ที่ต้องการได้ โดยการพิมพ์ ชื่อข้อมูลค้นหา site: เว็บไซต์ที่จะค้นหา ยกตัวอย่างเช่น การค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับ Spyware ใน เว็บไซต์ของกระปุก โดยการพิมพ์ Spyware site: kapook.com
- การค้นหาข้อมูลแบบละเอียด( Advance Search)
เพื่อความแม่นยำในการค้นหาข้อมูล ผู้ใช้สามารถกำหนดเงื่อนไขในแบบที่ละเอียดได้ไม่ ยาก เพราะ Google ได้เพิ่มรูปแบบในการกำหนดเงื่อนไขสำเร็จรูปมาให้เรียบร้อย แล้ว โดยคลิกไปยังเมนู ค้นหาแบบละเอียด
ผู้ใช้สามารถค้นหาข้อมูลเฉพาะในเว็บไซต์ที่ต้องการได้ โดยการพิมพ์ ชื่อข้อมูลค้นหา site: เว็บไซต์ที่จะค้นหา ยกตัวอย่างเช่น การค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับ Spyware ใน เว็บไซต์ของกระปุก โดยการพิมพ์ Spyware site: kapook.com
- การค้นหาข้อมูลแบบละเอียด( Advance Search)
เพื่อความแม่นยำในการค้นหาข้อมูล ผู้ใช้สามารถกำหนดเงื่อนไขในแบบที่ละเอียดได้ไม่ ยาก เพราะ Google ได้เพิ่มรูปแบบในการกำหนดเงื่อนไขสำเร็จรูปมาให้เรียบร้อย แล้ว โดยคลิกไปยังเมนู ค้นหาแบบละเอียด
รูปแบบการค้นหาข้อมูลของ Google ในแบบสำเร็จรูปนี้ค่อนข้างใช้งานง่าย เนื่องจากเป็นภาษาไทยทั้งหมด ผู้ใช้เพียงพิมพ์ Keyword ที่ต้องการค้นหากรอปกับใช้ ตัวเลือกด้านล่างเพื่อให้ขอบข่ายการหาเฉพาะเจาะจง
เทคนิคการใช้งาน Google ให้มากกว่าการใช้สืบค้นข้อมูล
1. ค้นหาหน้าเว็บที่มีข้อมูลคล้ายกันได้
ในบางครั้งเมื่อ Cache จะไม่สามารถช่วยผู้ใช้ค้นหาเว็บไซต์นั้นได้ แต่ผู้ใช้งานสามารถ ค้นหาเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาคล้ายกัน โดคลิกไปยังเมนู หน้าที่คล้ายกัน
2. Google สามารถค้นหาเว็บทั้งหมดที่เชื่อมมายังเว็บนั้นได้
โดยพิมพ์ link: ชื่อ URL ของเว็บ ในช่อง Search ของ Googleเช่นlink:www.facebook.com เป็นการค้นหาลิงค์ที่เชื่อมมายังเว็บ
เทคนิคการใช้งาน Google ให้มากกว่าการใช้สืบค้นข้อมูล
1. ค้นหาหน้าเว็บที่มีข้อมูลคล้ายกันได้
ในบางครั้งเมื่อ Cache จะไม่สามารถช่วยผู้ใช้ค้นหาเว็บไซต์นั้นได้ แต่ผู้ใช้งานสามารถ ค้นหาเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาคล้ายกัน โดคลิกไปยังเมนู หน้าที่คล้ายกัน
2. Google สามารถค้นหาเว็บทั้งหมดที่เชื่อมมายังเว็บนั้นได้
โดยพิมพ์ link: ชื่อ URL ของเว็บ ในช่อง Search ของ Googleเช่นlink:www.facebook.com เป็นการค้นหาลิงค์ที่เชื่อมมายังเว็บ
3. ค้นหาบทสรุปของหนังสือก่อนตัดสินใจซื้อ
ก่อนการตัดสินใจที่จะซื้อหนังสือสักเล่ม ผู้ใช้น่าจะทราบก่อนว่าเนื้อหามีอะไรบ้าง หรือมี โอกาสได้ดูสารบัญของหนั้งสือเล่มนั้นเสียก่อนครับ Google Search สามารถบอกผู้ ใช้ได้เพียงใส่ชื่อหนังสือหลังคำว่า books about ชื่อหนังสือ เช่น books about Harry Potter
ก่อนการตัดสินใจที่จะซื้อหนังสือสักเล่ม ผู้ใช้น่าจะทราบก่อนว่าเนื้อหามีอะไรบ้าง หรือมี โอกาสได้ดูสารบัญของหนั้งสือเล่มนั้นเสียก่อนครับ Google Search สามารถบอกผู้ ใช้ได้เพียงใส่ชื่อหนังสือหลังคำว่า books about ชื่อหนังสือ เช่น books about Harry Potter
4.การใช้เป็นเครื่องคิดเลข
Google สามารถคำนวณได้ทั้งการคำนวณพื้นฐาน เช่น การบวก ลบ คูณ หาร การยกกำลัง การหาค่าฟังก์ชันตรีโกณ การถอดรากที่ n การหาค่าแฟกทอเรียล
การใช้งานโดยเพียงพิมพ์โจทย์ทางคณิตศาสตร์ในช่องสืบค้นในหน้าเว็บของ Google ที่ตามปกติใช้สืบค้นข้อมูล Google จะพยายามตีความและแสดงผลลัพธ์ออกมา ลำดับการคำนวณจะเป็นไปตามหลักคณิตศาสตร์ทั่วไป คือคำนวณตัวกระทำทางคณิตสาสตร์ (Operator) ที่มีลำดับสูงกว่าก่อน เช่น คำนวณเลขยกกำลังก่อนคำนวณค่าบวก กรณีที่ Operator มีลำดับเท่ากันจะคำนวณจากซ้ายไปขวา หากต้องการบังคับให้เกิดการคำนวณคู่ใดก่อน ก็ใช้เครื่องหมายวงเล็บบังคับ เช่น
ตัวอย่างหากพิมพ์
“2^3+3rd root of 8” ผลลัพธ์คือ 10 ซึ่งมาจาก 2 ยกกำลัง 3 ก่อนได้ 8 แล้วจึงบวกกับค่ารากที่ 3 ของ 8 ซึ่งคือ 2
แต่หากพิมพ์โดยใส่วงเล็บบังคับให้คำนวณการบวกก่อนค่อยยกกำลังดังนี้
“2^(3+3rd root of 8)” จะได้ผลลัพธ์เป็น 32 ที่มาจากค่า 2 ยกกำลังค่าที่ได้จาก 3 บวกรากที่ 3 ของ 8 หรือ 2 ยกกำลัง 5 นั่นเอง
Google ยังแสดงผลลัพธ์เป็นเลขโรมันก็ได้ โดยใช้ Operator “in” ช่วย ดังตัวอย่างพิมพ์ “100*5+9 in roman” ในช่องสืบค้น ผลลัพธ์ที่แสดงออกมาคือ “DIX” ซึ่งหากให้แสดงเป็นตัวเลขอารบิกตามปกติจะเท่ากับ 519
นอกจากนี้ Google ไม่ใช่เพียงคำนวณเลขฐาน 10 ได้เท่านั้นยังคำนวณและแสดงผลลัพธ์เป็นเลขฐานอื่นเช่น เลขฐาน 2 เลขฐาน 8 และเลขฐาน 16 ได้อีกด้วย โดยระบุหน้าตัวเลขด้วย
เครื่องคิดเลข Google นี้ยังมีความน่าสนใจที่มากกว่าเครื่องคิดเลขธรรมดาอีก คือรู้จักค่าคงที่สำคัญทางคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ เช่นค่า pi ค่าความเร็วแสง มาลองดูตัวอย่างกันจากสมการดังของไอน์สไตน์คือ E=mc2 ให้ค่ามวลเป็น 100 แล้วคำนวณค่าพลังงานกัน โดยพิมพ์ “100*c^2” แล้วดูผลลัพธ์ที่แสดง Google จะแทนค่า c เป็นค่าความเร็วแสง (speed of light) ให้อัตโนมัติ
การใช้ Google Calculator ยังมีรูปแบบให้ทดสอบใช้งานอีกมากมาย ซึ่งไม่ได้แสดงการใช้งานในบทความนี้ สำหรับตัวกระทำทางคณิตสาสตร์ (Operator) รูปแบบการเขียน การทำงาน และตัวอย่างการใช้มีดังตารางข้างล่าง
5. การใช้แปลงหน่วยวัด
ดังที่กล่าวในหัวข้อก่อนว่า Google รู้จักค่าคงที่สำคัญทางคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์แล้ว Google ยังรู้จักชื่อหน่วยวัด รวมทั้งอักษรย่อ ของหน่วยวัดทางฟิสิกส์และคณิตศาสตร์บางตัว เช่น รู้จักว่า km คือกิโลเมตร และสามารถช่วยแปลงหน่วยวัดต่างๆ ได้ เช่น อุณหภูมิจากเซลเซียสเป็นฟาเรนไฮต์ น้ำหนักจากกรัมเป็นออนซ์
การใช้งานอาจใช้ Operator “in” ตามด้วยหน่วยของผลลัพธ์ที่ต้องการ เช่น “1 km in mile” หรือเพียงพิมพ์ระบุความต้องการ “100 gram to ounce” หรือ “half a cup in teaspoons” หรือ “37 C in Kelvin” Google จะพยายามตีความ และแสดงผลลัพธ์ออกมา กรณีที่ใช้อักษรย่อแล้วไม่ได้ผลลัพธ์ตามต้องการ อาจต้องใส่ชื่อเต็มของหน่วยวัดนั้น
6. การใช้คำนวณอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา
Google รู้จักหน่วยของเงินสกุลต่างๆที่สำคัญๆ รวมทั้งอักษรย่อ เช่น USD, Pound, Yen และสามารถแปลงค่าเงินจากสกุลหนึ่งเป็นอีกสกุลได้ ตามอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราที่เป็นปัจจุบัน ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้งานไม่ต้องค้นหาอัตราแลกเปลี่ยนก่อนการคำนวณให้ปวดหัว
การใช้งานก็เช่นเดิมใช้ Operator “in” ตามด้วยสกุลเงินที่ต้องการ โดยอาจใช้ชื่อหรืออักษรย่อของสกุลเงินนั้น เช่น “1 pound in baht” หรือกรณีไม่ทราบชื่อสกุลเงิน ก็ระบุว่าเป็นสกุลเงินของประเทศนั้นก็ได้ เช่น “1 British money in thai money”
7. การใช้ Google Alerts
เป็นการให้ Google ส่ง e-mail แจ้งเมื่อมีข้อมูลใหม่ๆ ที่ต้องการ โดยอาศัยความสามารถในการสืบค้นของ Google ตามคำค้นของเรื่องที่ต้องการ เหมือนการสืบค้นข้อมูล เพียงแต่ให้ส่งผลลัพธ์ทางอีเมล์ และหากในอนาคตพบข้อมูลใหม่อีกก็ส่งให้อีกตามที่กำหนดความถี่ของการส่งข้อมูลไว้
8. ค้นหาความหมายหรือนิยามของศัพท์เฉพาะ(เป็นภาษาอังกฤษ)
Google สามารถค้นหาศัพท์เฉพาะได้ด้วยการพิมพ์ define: ศัพท์เฉพาะ
9. ค้นหาเว็บไซต์รวมรูปดีๆ
นอกจากการใช้เมนู รูปภาพ ( Images) ในการค้นหารูปภาพแล้ว ผู้ใช้ยังค้นหาภาพได้ ด้วยการพิมพ์ ชื่อภาพ pictures
10. ค้นหารีวิวภาพยนตร์สนุกๆ
ผู้ใช้สามารถค้นหารีวิวหรือตัวอย่างภาพยนตร์ด้วย Google ได้ง่ายๆ ด้วยการพิมพ์ movie: ชื่อภาพยนตร์
Google สามารถคำนวณได้ทั้งการคำนวณพื้นฐาน เช่น การบวก ลบ คูณ หาร การยกกำลัง การหาค่าฟังก์ชันตรีโกณ การถอดรากที่ n การหาค่าแฟกทอเรียล
การใช้งานโดยเพียงพิมพ์โจทย์ทางคณิตศาสตร์ในช่องสืบค้นในหน้าเว็บของ Google ที่ตามปกติใช้สืบค้นข้อมูล Google จะพยายามตีความและแสดงผลลัพธ์ออกมา ลำดับการคำนวณจะเป็นไปตามหลักคณิตศาสตร์ทั่วไป คือคำนวณตัวกระทำทางคณิตสาสตร์ (Operator) ที่มีลำดับสูงกว่าก่อน เช่น คำนวณเลขยกกำลังก่อนคำนวณค่าบวก กรณีที่ Operator มีลำดับเท่ากันจะคำนวณจากซ้ายไปขวา หากต้องการบังคับให้เกิดการคำนวณคู่ใดก่อน ก็ใช้เครื่องหมายวงเล็บบังคับ เช่น
ตัวอย่างหากพิมพ์
“2^3+3rd root of 8” ผลลัพธ์คือ 10 ซึ่งมาจาก 2 ยกกำลัง 3 ก่อนได้ 8 แล้วจึงบวกกับค่ารากที่ 3 ของ 8 ซึ่งคือ 2
แต่หากพิมพ์โดยใส่วงเล็บบังคับให้คำนวณการบวกก่อนค่อยยกกำลังดังนี้
“2^(3+3rd root of 8)” จะได้ผลลัพธ์เป็น 32 ที่มาจากค่า 2 ยกกำลังค่าที่ได้จาก 3 บวกรากที่ 3 ของ 8 หรือ 2 ยกกำลัง 5 นั่นเอง
Google ยังแสดงผลลัพธ์เป็นเลขโรมันก็ได้ โดยใช้ Operator “in” ช่วย ดังตัวอย่างพิมพ์ “100*5+9 in roman” ในช่องสืบค้น ผลลัพธ์ที่แสดงออกมาคือ “DIX” ซึ่งหากให้แสดงเป็นตัวเลขอารบิกตามปกติจะเท่ากับ 519
นอกจากนี้ Google ไม่ใช่เพียงคำนวณเลขฐาน 10 ได้เท่านั้นยังคำนวณและแสดงผลลัพธ์เป็นเลขฐานอื่นเช่น เลขฐาน 2 เลขฐาน 8 และเลขฐาน 16 ได้อีกด้วย โดยระบุหน้าตัวเลขด้วย
- “0b” (เลขศูนย์และอักษรบี)
- “0o” (เลขศูนย์และอักษรโอ)
- “0x” (เลขศูนย์และอักษรเอ็กซ์) ตามลำดับ
เครื่องคิดเลข Google นี้ยังมีความน่าสนใจที่มากกว่าเครื่องคิดเลขธรรมดาอีก คือรู้จักค่าคงที่สำคัญทางคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ เช่นค่า pi ค่าความเร็วแสง มาลองดูตัวอย่างกันจากสมการดังของไอน์สไตน์คือ E=mc2 ให้ค่ามวลเป็น 100 แล้วคำนวณค่าพลังงานกัน โดยพิมพ์ “100*c^2” แล้วดูผลลัพธ์ที่แสดง Google จะแทนค่า c เป็นค่าความเร็วแสง (speed of light) ให้อัตโนมัติ
การใช้ Google Calculator ยังมีรูปแบบให้ทดสอบใช้งานอีกมากมาย ซึ่งไม่ได้แสดงการใช้งานในบทความนี้ สำหรับตัวกระทำทางคณิตสาสตร์ (Operator) รูปแบบการเขียน การทำงาน และตัวอย่างการใช้มีดังตารางข้างล่าง
5. การใช้แปลงหน่วยวัด
ดังที่กล่าวในหัวข้อก่อนว่า Google รู้จักค่าคงที่สำคัญทางคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์แล้ว Google ยังรู้จักชื่อหน่วยวัด รวมทั้งอักษรย่อ ของหน่วยวัดทางฟิสิกส์และคณิตศาสตร์บางตัว เช่น รู้จักว่า km คือกิโลเมตร และสามารถช่วยแปลงหน่วยวัดต่างๆ ได้ เช่น อุณหภูมิจากเซลเซียสเป็นฟาเรนไฮต์ น้ำหนักจากกรัมเป็นออนซ์
การใช้งานอาจใช้ Operator “in” ตามด้วยหน่วยของผลลัพธ์ที่ต้องการ เช่น “1 km in mile” หรือเพียงพิมพ์ระบุความต้องการ “100 gram to ounce” หรือ “half a cup in teaspoons” หรือ “37 C in Kelvin” Google จะพยายามตีความ และแสดงผลลัพธ์ออกมา กรณีที่ใช้อักษรย่อแล้วไม่ได้ผลลัพธ์ตามต้องการ อาจต้องใส่ชื่อเต็มของหน่วยวัดนั้น
6. การใช้คำนวณอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา
Google รู้จักหน่วยของเงินสกุลต่างๆที่สำคัญๆ รวมทั้งอักษรย่อ เช่น USD, Pound, Yen และสามารถแปลงค่าเงินจากสกุลหนึ่งเป็นอีกสกุลได้ ตามอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราที่เป็นปัจจุบัน ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้งานไม่ต้องค้นหาอัตราแลกเปลี่ยนก่อนการคำนวณให้ปวดหัว
การใช้งานก็เช่นเดิมใช้ Operator “in” ตามด้วยสกุลเงินที่ต้องการ โดยอาจใช้ชื่อหรืออักษรย่อของสกุลเงินนั้น เช่น “1 pound in baht” หรือกรณีไม่ทราบชื่อสกุลเงิน ก็ระบุว่าเป็นสกุลเงินของประเทศนั้นก็ได้ เช่น “1 British money in thai money”
7. การใช้ Google Alerts
เป็นการให้ Google ส่ง e-mail แจ้งเมื่อมีข้อมูลใหม่ๆ ที่ต้องการ โดยอาศัยความสามารถในการสืบค้นของ Google ตามคำค้นของเรื่องที่ต้องการ เหมือนการสืบค้นข้อมูล เพียงแต่ให้ส่งผลลัพธ์ทางอีเมล์ และหากในอนาคตพบข้อมูลใหม่อีกก็ส่งให้อีกตามที่กำหนดความถี่ของการส่งข้อมูลไว้
8. ค้นหาความหมายหรือนิยามของศัพท์เฉพาะ(เป็นภาษาอังกฤษ)
Google สามารถค้นหาศัพท์เฉพาะได้ด้วยการพิมพ์ define: ศัพท์เฉพาะ
9. ค้นหาเว็บไซต์รวมรูปดีๆ
นอกจากการใช้เมนู รูปภาพ ( Images) ในการค้นหารูปภาพแล้ว ผู้ใช้ยังค้นหาภาพได้ ด้วยการพิมพ์ ชื่อภาพ pictures
10. ค้นหารีวิวภาพยนตร์สนุกๆ
ผู้ใช้สามารถค้นหารีวิวหรือตัวอย่างภาพยนตร์ด้วย Google ได้ง่ายๆ ด้วยการพิมพ์ movie: ชื่อภาพยนตร์
เทคนิคการใช้งานและการตั้งค่าการใช้งานต่างๆของ Google Chrome Browser
รายละเอียดและประวัติเกี่ยวกับโปรแกรม
ประวัติ Google.com ประวัติ Google Google มาจากคำว่า Google ซึ่งหมายถึงจำนวนทางคณิตศาสตร์ที่หมายถึงเลข 1 แล้วตามด้วยเลข 0 อีกหนึ่งร้อยตัว อันเป็นการแสดงเจตนารมณ์ของบริษัทที่จะจัดการกับข้อมูลจำนวนมหาศาล Google Inc. เป็นบริษัทมหาชนอเมริกัน มีรายได้หลักจากการโฆษณาออนไลน์ที่ปรากฏใน Search Engine ของGoogle , E-mail ,แผนที่ออนไลน์,ซอฟแวร์จัดการด้านสำนักงาน,เครือข่ายออนไลน์ และ วิดีโอออนไลน์ รวมถึงการขายอุปกรณ์ช่วยในการค้นหา Google สำนักงานใหญ่รู้จักกันในนาม Google plex ตั้งอยู่ที่เมือง เมาท์เทนวิว รัฐแคลิฟอร์เนียโดยมีพนักงาน (นับ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2550) 16,805 คน โดย Google เป็นบริษัทอเมริกันที่ใหญ่ที่สุด ที่ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของดัชนีดาวน์โจนส์ Google ก่อตั้งโดย แลย์รีย์ เพจ และ เซอร์เกย์ บริน ขณะที่ทั้งคู่ กำลังศึกษา อยู่ที่ มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ซึ่งภายหลังทั้งคู่ได้ก่อตั้งบริษัทเมื่อวันที่ 7 กันยายน 2541 ในโรงจอดรถของเพื่อน ที่เมนโลพาร์ค แคลิฟอร์เนีย และ มีการเสนอขายหุ้นใหม่ให้แก่ประชาชนครั้งแรกเมื่อ 19 สิงหาคม 2547 เพิ่มมูลค่าให้กับบริษัท 1.67 พันล้านเหรียญสหรัฐ และหลังจากนั้นทาง Google ได้มีการขยายตัวตลอดเวลาจากการพัฒนาซอฟแวร์ใหม่และการซื้อกิจการอื่นเข้ามา Google ได้ถูกจัดอันดับให้เป็นบริษัทที่น่าทำงานที่สุดโดยนิตยสารฟอร์จูน ซึ่งมีคติพจน์ประจำบริษัท คือ Don’t be evil
ประวัติ Google.com ประวัติ Google Google มาจากคำว่า Google ซึ่งหมายถึงจำนวนทางคณิตศาสตร์ที่หมายถึงเลข 1 แล้วตามด้วยเลข 0 อีกหนึ่งร้อยตัว อันเป็นการแสดงเจตนารมณ์ของบริษัทที่จะจัดการกับข้อมูลจำนวนมหาศาล Google Inc. เป็นบริษัทมหาชนอเมริกัน มีรายได้หลักจากการโฆษณาออนไลน์ที่ปรากฏใน Search Engine ของGoogle , E-mail ,แผนที่ออนไลน์,ซอฟแวร์จัดการด้านสำนักงาน,เครือข่ายออนไลน์ และ วิดีโอออนไลน์ รวมถึงการขายอุปกรณ์ช่วยในการค้นหา Google สำนักงานใหญ่รู้จักกันในนาม Google plex ตั้งอยู่ที่เมือง เมาท์เทนวิว รัฐแคลิฟอร์เนียโดยมีพนักงาน (นับ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2550) 16,805 คน โดย Google เป็นบริษัทอเมริกันที่ใหญ่ที่สุด ที่ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของดัชนีดาวน์โจนส์ Google ก่อตั้งโดย แลย์รีย์ เพจ และ เซอร์เกย์ บริน ขณะที่ทั้งคู่ กำลังศึกษา อยู่ที่ มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ซึ่งภายหลังทั้งคู่ได้ก่อตั้งบริษัทเมื่อวันที่ 7 กันยายน 2541 ในโรงจอดรถของเพื่อน ที่เมนโลพาร์ค แคลิฟอร์เนีย และ มีการเสนอขายหุ้นใหม่ให้แก่ประชาชนครั้งแรกเมื่อ 19 สิงหาคม 2547 เพิ่มมูลค่าให้กับบริษัท 1.67 พันล้านเหรียญสหรัฐ และหลังจากนั้นทาง Google ได้มีการขยายตัวตลอดเวลาจากการพัฒนาซอฟแวร์ใหม่และการซื้อกิจการอื่นเข้ามา Google ได้ถูกจัดอันดับให้เป็นบริษัทที่น่าทำงานที่สุดโดยนิตยสารฟอร์จูน ซึ่งมีคติพจน์ประจำบริษัท คือ Don’t be evil
แลรีย์ เพจ และ เซอร์เกย์ บริน ผู้ก่อตั้ง Google Google เริ่มก่อตั้งเมื่อ มกราคม 2539 จากโครงงานวิจัยสำหรับดุษฎีนิพนธ์ ของแลรีย์ เพจ และ เซอร์เกย์ บริน นักศึกษามหาวิทยาลัยปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด จากสมมุติฐานของ Search Engine ที่สามารถวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของเวปไซต์ มาจัดอันดับการค้นหาที่เรียกว่า เพจแรงก์ โดยชื่อ Search Engine ที่ตั้งมาในตอนนั้น ชื่อว่า Back Rub ตามความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูลการลิงค์ย้อนกลับไป (Back Links) เพื่อวิเคราะห์ความสำคัญของแต่ละ เว็บไซต์ โดยเวปไซต์ที่มีเวปไซต์อื่นเข้ามาลิงค์มากที่สุด จะเป็นเวปไซต์ที่มีความสำคัญสูงสุด และ จะถูกจัดอันดับให้ดีกว่า โดยทั้งคู่ได้ทดสอบ Search Engine โดยใช้Server ของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ในชื่อ Domain ว่า Google.Standford.Edu และต่อมาได้จดทะเบียนบริษัทกูเกิล (Google Inc.) ในวันที่ 7 กันยายน 2541 และชื่อ Domain Google ได้ถูกจดทะเบียนเมื่อวันที่ 15 กันยายน ในขณะเดียวกันทั้งคู่ได้ลาพักการเรียน และใช้เวลาในการพัฒนาหาเงินทุนพัฒนาจากครอบครัว เพื่อนฝูง และ นักลงทุน เป็นจำนวนเงินกว่า 1.1 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งรวมถึงเช็คเงินจาก แอนดี้ เบกโทลไซม์ ผู้ก่อตั้ง ซันไมโครซิสเตมส์ ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2542 บริษัทได้ย้ายไปยังเมือง แพโลอัลโท ที่ตั้งของบริษัทคอมพิวเตอร์หลายแห่ง ซึ่งต่อมา Googleได้ย้ายบริษัทอีกครั้งไปยังเมือง เมาท์เทนวิว ไปยังสำนักงานใหญ่ในชื่อเล่นว่า Google Plex ซึ่งในปี 2543 Google ได้เปิดธุรกิจในส่วนโฆษณา ในชื่อ Adwords และ Adsense โดยเป็นการโฆษณาผ่านคำค้นหา ซึ่งทำให้ข้อความโฆษณาตรงกับความต้องการของผู้ค้นเนื้อหาในเวปไซต์ และสองส่วนนี้กลายเป็น ธุรกิจหลักของ Google ร่วมกับตัว Search Engine
พัฒนาการของ Search Engine ก่อนที่จะ เป็น Google ความต้องการในการใช้บริการ Search Engine มีการเติบโตขึ้นและ ขยายวงกว้างอย่างรวดเร็ว ครอบคลุมถึง www. ซึ่งในยุคแรกของการใช้บริการ Search Engine Yahoo เป็นบริษัทแรกที่เข้ามามีบทบาท โดยการใช้ มนุษย์ในการจัดเรียงข้อมูล ต่อมาWebsite ได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและ ได้ต่อมาเมื่อมีการคิดค้น เทคโนโลยี Alta vista ซึ่งเป็นเครื่องมือ Search อัตโนมัติผ่านทางโปรแกรม Spiders ซึ่งสามารถค้นหาสาระที่ต้องการโดยใช้วิธีการ Algorithms ซึ่งจัดลำดับหน้าข้อความที่เกี่ยวข้องโดยใช้พื้นฐานของคีย์เวิร์ดที่ซ้ำกันอ้างอิง Yahoo ได้ใช้ เทคโนโลยีนี้เป็น Search Engine จนกระทั่งในปี 1998 Alta Vista ได้ถูกแทนที่ด้วยInktomi ซึ่งมีความสามารถในการหาข้อมูลที่รวดเร็วกว่า Yahoo ใช้เทคโนโลยี ของ Inktomi จนกระทั่งในปี 1999 บริน และ เพจ ซึ่งได้รับการสนับสนุนเงินลงทุนจาก กองทุนSequoia และ Kliner ได้พัฒนา Google ขึ้นมา แทนที่ Inktomi โดย Google สามารถจัดการกับ web ในระบบ ได้ถึง 1,000 ล้านเวป จากปัจจัยดังกล่าวทำให้ Google กลายเป็นผู้นำในด้าน Search Engine ซึ่งทำรายได้ให้กับบริษัทเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังส่งผลให้ Yahoo ตัดสินใจซื้อลิขสิทธิ์ของ Google มาใช้ ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้น ของบริษัทนับตั้งแต่นั้นมาจัดตั้งบริษัทมหาชน ในวันที่ 17 สิงหาคม 2547 ได้เปลี่ยนเป็นบริษัทมหาชน โดยมีจำนวนหุ้นทั้งหมด 19,605,052 หุ้นที่ราคา 85 เหรียญสหรัฐต่อหุ้น โดย 14,142,135 หุ้นได้มีการเปิดขายแก่ประชาชนโดย Google และ 5,412,967 โดยผู้ถือหุ้นขาย หุ้นของ Googleในช่วงขายหุ้นครั้งแรกมีมูลค่าเพิ่มขึ้นสูงกว่า 200% ในช่วงปิดตลาดหุ้นวันแรกที่ได้ประกาศ เปรียบเทียบกับไป่ตู้ Search Engineของประเทศจีน มูลค่าเพิ่มขึ้น 354% ในช่วงปิดตลาดวันแรก และในเดือนตุลาคม 2550 หุ้นGoogle ได้ขึ้นไปอยู่ที่ 700 เหรียญสหรัฐ การซื้อกิจการ ตั้งแต่ปี 2544 กูเกิลได้เริ่มมีการซื้อบริษัทที่มีการพัฒนาในด้านเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์เข้ามา ตัวอย่างบริษัทและผลิตภัณฑ์ที่มีการซื้อได้แก่ บล็อกเกอร์พัฒนาโดยไพราแล็บส์แพลตฟอร์มสำหรับให้บริการเขียนบล็อก ปีกาซาที่พัฒนาโดยไอเดียแล็บซอฟต์แวร์สำหรับดูไฟล์ภาพและวิดีโอ คีย์โฮลพัฒนาโดยบริษัทคีย์โฮลซอฟต์แวร์สำหรับดูภาพถ่ายผ่านดาวเทียมและภาพถ่ายทางอากาศ ซึ่งปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของกูเกิลเอิร์ธ เออร์ชินเว็บแอปพลิเคชันในการวิเคราะห์สถิติผู้เข้าชมเว็บไซต์ ซึ่งปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นแอนะลิติกส์ ไรต์รีเว็บแอปพลิเคชันสำหรับสร้างเอกสารสำนักงานออนไลน์ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของด็อกส์ สเก็ตช์อัปพัฒนาโดยแอตแลสต์ซอฟต์แวร์สำหรับวาดภาพสามมิติ ยูทูบเว็บไซต์ให้บริการแชร์วิดีโอออนไลน์ จอตสปอตเว็บไซต์สำหรับสร้างเว็บไซต์แนววิกิปัจจุบันใช้ชื่อไซต์ ดับเบิลคลิกบริษัทให้บริการโฆษณาออนไลน์ ไจกุเครือข่ายสังคมออนไลน์
พัฒนาการของ Search Engine ก่อนที่จะ เป็น Google ความต้องการในการใช้บริการ Search Engine มีการเติบโตขึ้นและ ขยายวงกว้างอย่างรวดเร็ว ครอบคลุมถึง www. ซึ่งในยุคแรกของการใช้บริการ Search Engine Yahoo เป็นบริษัทแรกที่เข้ามามีบทบาท โดยการใช้ มนุษย์ในการจัดเรียงข้อมูล ต่อมาWebsite ได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและ ได้ต่อมาเมื่อมีการคิดค้น เทคโนโลยี Alta vista ซึ่งเป็นเครื่องมือ Search อัตโนมัติผ่านทางโปรแกรม Spiders ซึ่งสามารถค้นหาสาระที่ต้องการโดยใช้วิธีการ Algorithms ซึ่งจัดลำดับหน้าข้อความที่เกี่ยวข้องโดยใช้พื้นฐานของคีย์เวิร์ดที่ซ้ำกันอ้างอิง Yahoo ได้ใช้ เทคโนโลยีนี้เป็น Search Engine จนกระทั่งในปี 1998 Alta Vista ได้ถูกแทนที่ด้วยInktomi ซึ่งมีความสามารถในการหาข้อมูลที่รวดเร็วกว่า Yahoo ใช้เทคโนโลยี ของ Inktomi จนกระทั่งในปี 1999 บริน และ เพจ ซึ่งได้รับการสนับสนุนเงินลงทุนจาก กองทุนSequoia และ Kliner ได้พัฒนา Google ขึ้นมา แทนที่ Inktomi โดย Google สามารถจัดการกับ web ในระบบ ได้ถึง 1,000 ล้านเวป จากปัจจัยดังกล่าวทำให้ Google กลายเป็นผู้นำในด้าน Search Engine ซึ่งทำรายได้ให้กับบริษัทเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังส่งผลให้ Yahoo ตัดสินใจซื้อลิขสิทธิ์ของ Google มาใช้ ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้น ของบริษัทนับตั้งแต่นั้นมาจัดตั้งบริษัทมหาชน ในวันที่ 17 สิงหาคม 2547 ได้เปลี่ยนเป็นบริษัทมหาชน โดยมีจำนวนหุ้นทั้งหมด 19,605,052 หุ้นที่ราคา 85 เหรียญสหรัฐต่อหุ้น โดย 14,142,135 หุ้นได้มีการเปิดขายแก่ประชาชนโดย Google และ 5,412,967 โดยผู้ถือหุ้นขาย หุ้นของ Googleในช่วงขายหุ้นครั้งแรกมีมูลค่าเพิ่มขึ้นสูงกว่า 200% ในช่วงปิดตลาดหุ้นวันแรกที่ได้ประกาศ เปรียบเทียบกับไป่ตู้ Search Engineของประเทศจีน มูลค่าเพิ่มขึ้น 354% ในช่วงปิดตลาดวันแรก และในเดือนตุลาคม 2550 หุ้นGoogle ได้ขึ้นไปอยู่ที่ 700 เหรียญสหรัฐ การซื้อกิจการ ตั้งแต่ปี 2544 กูเกิลได้เริ่มมีการซื้อบริษัทที่มีการพัฒนาในด้านเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์เข้ามา ตัวอย่างบริษัทและผลิตภัณฑ์ที่มีการซื้อได้แก่ บล็อกเกอร์พัฒนาโดยไพราแล็บส์แพลตฟอร์มสำหรับให้บริการเขียนบล็อก ปีกาซาที่พัฒนาโดยไอเดียแล็บซอฟต์แวร์สำหรับดูไฟล์ภาพและวิดีโอ คีย์โฮลพัฒนาโดยบริษัทคีย์โฮลซอฟต์แวร์สำหรับดูภาพถ่ายผ่านดาวเทียมและภาพถ่ายทางอากาศ ซึ่งปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของกูเกิลเอิร์ธ เออร์ชินเว็บแอปพลิเคชันในการวิเคราะห์สถิติผู้เข้าชมเว็บไซต์ ซึ่งปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นแอนะลิติกส์ ไรต์รีเว็บแอปพลิเคชันสำหรับสร้างเอกสารสำนักงานออนไลน์ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของด็อกส์ สเก็ตช์อัปพัฒนาโดยแอตแลสต์ซอฟต์แวร์สำหรับวาดภาพสามมิติ ยูทูบเว็บไซต์ให้บริการแชร์วิดีโอออนไลน์ จอตสปอตเว็บไซต์สำหรับสร้างเว็บไซต์แนววิกิปัจจุบันใช้ชื่อไซต์ ดับเบิลคลิกบริษัทให้บริการโฆษณาออนไลน์ ไจกุเครือข่ายสังคมออนไลน์
ส่วนประกอบของโปรแกรม
ส่วนประกอบของ Google chrome
ส่วนประกอบของ Google chrome
ส่วนประกอบของ Google chrome
1. Title bar (แถบชื่อ) แสดงชื่อเว็บที่เรากำลังใช้อยู่
2. Menu Bar (แถบเมนู) ทำหน้าที่แสดงเมนูคำสั่งต่างๆ ซึ่งแบ่งกลุ่มของคำสั่ง โดยประกอบไปด้วย เมนูFile, เมนูEdit, เมนูViewและเมนูFavorites
3. Address Bar (แถบที่อยู่) ทำหน้าที่ในการเชื่อมโยงไปยังเว็บไซต์ต่างๆ
4.แถบบุ๊กมาร์ก หน้าเว็บโปรดของคุณจะแสดงอยู่ที่ด้านบนของหน้าแท็บใหม่เป็นค่าเริ่มต้น
5. Apps ไอคอนสำหรับแอปที่คุณได้ติดตั้งจาก Chrome เว็บสโตร์สามารถเข้าถึงได้โดยการคลิกบุ๊กมาร์ก Apps ในแถบบุ๊กมาร์ก เมื่อคุณอยู่ในหน้า Chrome Apps เพียงคลิกที่ไอคอนเพื่อเปิดแอป
6. ช่องค้นหา เริ่มพิมพ์คำค้นหาของคุณลงในช่องค้นหา และคุณจะเห็นคำค้นหาของคุณปรากฏขึ้นในแถบอเนกประสงค์ คุณยังสามารถป้อน URL เพื่อนำทางไปยังหน้าเว็บได้อีกด้วย
7. เข้าชมบ่อยสุด ภาพขนาดย่อของเว็บไซต์ที่คุณเข้าชมเป็นประจำจะปรากฏอยู่ด้านล่างช่องค้นหา เพียงคลิกที่ภาพขนาดย่อที่ต้องการเพื่อไปที่ไซต์นั้น หากต้องการนำไซต์ที่เข้าชมบ่อยที่สุดออก ให้วางเมาส์เหนือภาพขนาดย่อ และคลิกไอคอน X ที่มุมขวาบนของภาพขนาดย่อนั้น
1. Title bar (แถบชื่อ) แสดงชื่อเว็บที่เรากำลังใช้อยู่
2. Menu Bar (แถบเมนู) ทำหน้าที่แสดงเมนูคำสั่งต่างๆ ซึ่งแบ่งกลุ่มของคำสั่ง โดยประกอบไปด้วย เมนูFile, เมนูEdit, เมนูViewและเมนูFavorites
3. Address Bar (แถบที่อยู่) ทำหน้าที่ในการเชื่อมโยงไปยังเว็บไซต์ต่างๆ
4.แถบบุ๊กมาร์ก หน้าเว็บโปรดของคุณจะแสดงอยู่ที่ด้านบนของหน้าแท็บใหม่เป็นค่าเริ่มต้น
5. Apps ไอคอนสำหรับแอปที่คุณได้ติดตั้งจาก Chrome เว็บสโตร์สามารถเข้าถึงได้โดยการคลิกบุ๊กมาร์ก Apps ในแถบบุ๊กมาร์ก เมื่อคุณอยู่ในหน้า Chrome Apps เพียงคลิกที่ไอคอนเพื่อเปิดแอป
6. ช่องค้นหา เริ่มพิมพ์คำค้นหาของคุณลงในช่องค้นหา และคุณจะเห็นคำค้นหาของคุณปรากฏขึ้นในแถบอเนกประสงค์ คุณยังสามารถป้อน URL เพื่อนำทางไปยังหน้าเว็บได้อีกด้วย
7. เข้าชมบ่อยสุด ภาพขนาดย่อของเว็บไซต์ที่คุณเข้าชมเป็นประจำจะปรากฏอยู่ด้านล่างช่องค้นหา เพียงคลิกที่ภาพขนาดย่อที่ต้องการเพื่อไปที่ไซต์นั้น หากต้องการนำไซต์ที่เข้าชมบ่อยที่สุดออก ให้วางเมาส์เหนือภาพขนาดย่อ และคลิกไอคอน X ที่มุมขวาบนของภาพขนาดย่อนั้น
การใช้งานโปรแกรม
คีย์ลัด บน Google Chrome
ก่อนที่จะไปถึงเรื่อง ส่วนเสริม หรือฟังก์ชั่นเด็ดๆของ Google Chrome นั้น เรามาเริ่มกันที่เรื่องง่ายๆกันก่อน เริ่มกันที่ คีย์ลัด บน Google Chrome เชื่อได้ว่า หลายๆท่านอาจจะเคยใช้ คีย์ลัด ที่เป็นของระบบปฏิบัติการ Windows มาบ้าง อย่างน้อยก็ Copy Paste (Ctrl + C , Ctrl + V) ที่น่าจะถูกใช้บ่อยสุด ซึ่งแน่นอนครับว่า มันช่วยในเรื่องของความเร็วในการใช้งาน และ บน Google Chrome ก็เช่นกัน หากเราสามารถใช้คีย์ลัดเหล่านี้ได้คล่อง ก็น่าจะช่วยให้เราใช้งาน Google Chrome ได้ดียิ่งขึ้นแน่นอน
Ctrl + N : ใช้สำหรับ เปิดหน้าต่าง Google Chrome เพิ่มอีกหนึ่งอัน (Open New Window)
Ctrl + T : ใช้สำหรับ เปิด Tab ใหม่ ในหน้าต่างเดิม (Open New Tab)
Ctrl + Shift + N : เปิด หน้าต่าง Google Chrome เพิ่ม ในโหมด Incognito
Ctrl + Shift + T : เปิด Tab ที่เคยปิดไปล่าสุด สูงสุด 10 Tab
ALT + F หรือ ALT + E : เปิดเมนูบาร์ Google Chrome
Ctrl + Shift + B : เปิด / ปิด แถบ Bookmark
Ctrl + H : เปิดดู History
Ctrl + J : เปิดดูรายการดาวน์โหลด
Shift + ESC : เปิด Google Chrome Task Manager เพื่อดูว่าหน้าไหนที่ทำให้ระบบช้า และเลือกปิดได้
สำหรับ Incognito Mode นั้น คือ โหมดส่วนตัว ซึ่งข้อมูลเว็บไซต์ที่เราเข้าด้วยโหมดนี้ จะไม่ถูกเก็บลง History นั่นเอง และนี่เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของจำนวน Shortcut ที่มีอยู่บน Google Chrome นะครับ และถึงแม้ว่ามันจะดูเหมือนเยอะจนไม่น่าจะจำได้ แต่ถ้าหากเราใช้บ่อยๆ ในทุกๆวัน ก็น่าจะชินไปเองครับ
เปลี่ยนไอคอน Google Chrome เป็น สีทอง (Gold Version)
คีย์ลัด บน Google Chrome
ก่อนที่จะไปถึงเรื่อง ส่วนเสริม หรือฟังก์ชั่นเด็ดๆของ Google Chrome นั้น เรามาเริ่มกันที่เรื่องง่ายๆกันก่อน เริ่มกันที่ คีย์ลัด บน Google Chrome เชื่อได้ว่า หลายๆท่านอาจจะเคยใช้ คีย์ลัด ที่เป็นของระบบปฏิบัติการ Windows มาบ้าง อย่างน้อยก็ Copy Paste (Ctrl + C , Ctrl + V) ที่น่าจะถูกใช้บ่อยสุด ซึ่งแน่นอนครับว่า มันช่วยในเรื่องของความเร็วในการใช้งาน และ บน Google Chrome ก็เช่นกัน หากเราสามารถใช้คีย์ลัดเหล่านี้ได้คล่อง ก็น่าจะช่วยให้เราใช้งาน Google Chrome ได้ดียิ่งขึ้นแน่นอน
Ctrl + N : ใช้สำหรับ เปิดหน้าต่าง Google Chrome เพิ่มอีกหนึ่งอัน (Open New Window)
Ctrl + T : ใช้สำหรับ เปิด Tab ใหม่ ในหน้าต่างเดิม (Open New Tab)
Ctrl + Shift + N : เปิด หน้าต่าง Google Chrome เพิ่ม ในโหมด Incognito
Ctrl + Shift + T : เปิด Tab ที่เคยปิดไปล่าสุด สูงสุด 10 Tab
ALT + F หรือ ALT + E : เปิดเมนูบาร์ Google Chrome
Ctrl + Shift + B : เปิด / ปิด แถบ Bookmark
Ctrl + H : เปิดดู History
Ctrl + J : เปิดดูรายการดาวน์โหลด
Shift + ESC : เปิด Google Chrome Task Manager เพื่อดูว่าหน้าไหนที่ทำให้ระบบช้า และเลือกปิดได้
สำหรับ Incognito Mode นั้น คือ โหมดส่วนตัว ซึ่งข้อมูลเว็บไซต์ที่เราเข้าด้วยโหมดนี้ จะไม่ถูกเก็บลง History นั่นเอง และนี่เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของจำนวน Shortcut ที่มีอยู่บน Google Chrome นะครับ และถึงแม้ว่ามันจะดูเหมือนเยอะจนไม่น่าจะจำได้ แต่ถ้าหากเราใช้บ่อยๆ ในทุกๆวัน ก็น่าจะชินไปเองครับ
เปลี่ยนไอคอน Google Chrome เป็น สีทอง (Gold Version)
สำหรับฟังก์ชั่นนี้ ไม่น่าจะช่วยเรื่องการใช้งานสักเท่าไหร่ เพียงแต่ อาจจะใช้เพิ่มความหรูให้กับผู้ใช้ได้บ้าง หรือจะเอาไว้โม้เพื่อนว่าเป็นเวอร์ชั่นพิเศษ Gold Edition ก็สามารถทำได้ ซึ่งจริงๆแล้ว เทคนิคนี้ เป็นเพียงแค่การเปลี่ยน Icon เป็นสีทอง ซึ่งเป็นไอค่อนที่ทาง Google ได้แนบมาไว้ให้อยู่แล้วครับ ซึ่งวิธีเปลี่ยนก็ง่ายๆ เลย เพียงแค่คลิกขวาที่ Icon Google Chrome แล้วเลือก Property หลังจากนั้นให้เลือก Change Icon ก็จะเห็น Icon ของ Google Chrome ที่เป็นสีทองมาให้เลือกกันแล้วล่ะ
Favicon บน แถบ Bookmark
Favicon บน แถบ Bookmark
เมื่อเราทำการ Bookmark หน้าเว็บใดๆก็ตาม หน้าที่เราดำเนินการล่าสุด จะถูกเพิ่มลงในแถบ Bookmark ซึ่งจะมี Icon ของเว็บเพจนั้นๆ และตามมาด้วยข้อความของเว็บไซต์ดังกล่าว ซึ่งถ้าหากเราต้องการที่จะทำให้ ข้อความเหล่านั้นหายไป เหลือเพียงแค่ Icon ของเว็บไซต์นั้นๆ เพื่อประหยัดเนื้อที่ และยังสามารถ เพิ่มเว็บไซต์ในแถบ Bookmark ให้มีจำนวนมากยิ่งขึ้นได้ก็ทำวิธีนี้กันเลย
ซึ่งวิธีทำนั้นก็ไม่ยากเลยครับ ก่อนอื่น ต้องมั่นใจว่า แถบ Bookmark ได้เปิดไว้ หรือถ้าหากยังไม่ได้เปิด ก็ลองใช้คีย์ลัดที่เราเพิ่งได้อ่านผ่านมาก่อนหน้าดูได้เลย (Ctrl + Shift + B เพื่อเปิดแถบ Bookmark) หลังจากนั้น หากเรามี Bookmark ไว้อยู่แล้ว ให้ทำการคลิกขวาที่ Bookmark ที่เราต้องการจะลบข้อความออก แล้วเลือก Edit เมื่อกดแล้วเราจะเห็นหน้าต่างใหม่เพิ่มขึ้นมา โดยจะมีช่อง Name อยู่ ให้ทำการลบข้อความที่อยู่ในช่อง Name ออกให้หมด แล้วกด Save เพียงเท่านี้ แถบ Bookmark ดังกล่าว ก็จะเหลือแค่ Icon อย่างเดียวเท่านั้น
ตั้งค่าหน้า Home ได้ตามใจ
ซึ่งวิธีทำนั้นก็ไม่ยากเลยครับ ก่อนอื่น ต้องมั่นใจว่า แถบ Bookmark ได้เปิดไว้ หรือถ้าหากยังไม่ได้เปิด ก็ลองใช้คีย์ลัดที่เราเพิ่งได้อ่านผ่านมาก่อนหน้าดูได้เลย (Ctrl + Shift + B เพื่อเปิดแถบ Bookmark) หลังจากนั้น หากเรามี Bookmark ไว้อยู่แล้ว ให้ทำการคลิกขวาที่ Bookmark ที่เราต้องการจะลบข้อความออก แล้วเลือก Edit เมื่อกดแล้วเราจะเห็นหน้าต่างใหม่เพิ่มขึ้นมา โดยจะมีช่อง Name อยู่ ให้ทำการลบข้อความที่อยู่ในช่อง Name ออกให้หมด แล้วกด Save เพียงเท่านี้ แถบ Bookmark ดังกล่าว ก็จะเหลือแค่ Icon อย่างเดียวเท่านั้น
ตั้งค่าหน้า Home ได้ตามใจ
บราวซ์เซอร์ทั่วไป อาจจะตั้งหน้า Home หรือหน้าแรก เมื่อเปิดบราวเซอร์ขึ้นมาได้แค่เพียงเว็บไซต์เดียว แต่ถ้าหากเรามีหน้าเว็บที่อยากตั้งเป็นหน้า Home มากกว่าหนึ่งล่ะ Google Chrome ช่วยคุณได้ ซึ่ง บน Google Chrome นั้นสามารถเพิ่มหน้า Home ได้มากกว่าหนึ่งหน้า ซึ่งเมื่อคุณเปิด บราวเซอร์ขึ้นมา ทุกเว็บที่คุณได้ต้ังค่าเอาไว้ จะถูกเปิดมาพร้อมๆกันในครั้งเดียว (แยก Tab) ซึ่งวิธีทำก็ไม่ยากเลยครับ เพียงแค่เราไปที่เมนู แล้วเลือก Setting หลังจากนั้นให้คลิกเลือกที่ Open a specific page or set of pages และเลือก Setpage ซึ่งในหน้า Setpage นี่เอง ที่เราสามารถเพิ่มเว็บไซต์ต่างๆได้ตามใจชอบ
แกล้งเพื่อนของคุณด้วย Fake Edit
แกล้งเพื่อนของคุณด้วย Fake Edit
นี่เป็นอีกหนึ่งวิธี ที่จะแกล้งเพื่อนของคุณด้วยวิธีง่ายๆ ถ้าหากคุณสามารถแก้ไขข้อความต่างๆบนเว็บไซต์ชื่อดัง และ เซฟ Screenshot ไปให้เพื่อนดูได้ คิดว่าน่าสนุกขนาดไหน ยกตัวอย่างจากภาพด้านบน เป็นหน้าเว็บที่ถูกแก้ไขหัวข้อของข่าวเป็น บริษัท AMD ซื้อ Intel ด้วยราคา 35 ล้านเหรียญ ซึ่งจะเห็นว่า URL นั้นยังคงเป็น URL เดิม ไม่ต้องเหนื่อยมานั่งตัดต่อด้วย Photoshop อีกด้วย วิธีทำก็ง่ายๆเลยครับ เพียงแค่เราคลิ๊กขวาตรงส่วนไหนก็ตามที่เราอยากแก้ไข แล้วเลือก Inspect Element หลังจากนั้น Google Chrome จะเปิดหน้าต่างสำหรับ Developer ขึ้นมา และมาร์คจุดที่เราเลือกเมื่อสักครู่เอาไว้ ทีนี้ เราแค่ดับเบิ้ลคลิ๊กในส่วนที่อยากจะแก้ แล้วก็พิมข้อความไปได้ตามใจชอบเลยล่ะ
ความคุม Google Chrome ให้ได้ดั่งใจ
ความคุม Google Chrome ให้ได้ดั่งใจ
สำหรับ Google Chrome นั้นยังมีหน้าพิเศษ ที่ให้เราสามารถเปิดปิด ความสามารถของ Google Chrome ได้อีกด้วย ซึ่งหากเราลองพิมคำว่า chrome://flags/ ลงไปในช่อง Address ตัวบราวเซอร์เอง ก็จะพามายังหน้า ที่ให้คุณเลือก เปิดปิดฟังก์ชั่นต่างๆได้ตามใจชอบ แต่การเปิดปิด ฟังก์ชั่นต่างๆนั้นอาจจะต้องระวังกันสักนิดนึงนะครับเพราะอาจจะทำให้การเข้าเว็บไซต์ได้ไม่สมบูรณ์เหมือนเดิมนั่นเอง หรือจะลองพิมคำว่า chrome://memory เพื่อดูการใช้งาน Memory ของเครื่อง ว่าใช้ไปมากน้อยแค่ไหน และ chrome://about ในหน้านี้ จะรวมคำสั่งและคีย์ลัดต่างๆเพิ่มเติมอีกมากมาย
สร้าง Account ใหม่ สำหรับผู้ใช้งาน Google Chrome
สร้าง Account ใหม่ สำหรับผู้ใช้งาน Google Chrome
หากคุณใช้งาน Google Chrome ร่วมกับคนอื่น อาจจะเจอปัญหาในเรื่องของ History ปนกับคนอื่น Bookmark หรือ แม้แต่พาสเวิร์ดที่เคยกรอกบนเว็บไซต์ต่างๆ แต่บน Google Chrome คุณสามารถแยก Account การใช้งานได้ โดยข้อมูลต่างๆจะถูกเก็บที่ Account นั้นๆ นอกจากนี้ยังสามารถสร้าง User หรือ สลับการใช้งานได้อย่างสะดวกสบาย เพียงแค่กด Ctrl + Shift + M ก็จะพบกับหน้าต่างสำหรับสลับ User หรือ สร้าง User ใหม่ทันที
เพิ่ม ฟังก์ชั่นใหม่ๆให้กับ Google Chrome ด้วย Extensions
เพิ่ม ฟังก์ชั่นใหม่ๆให้กับ Google Chrome ด้วย Extensions
สำหรับ Extensions บน Google Chrome นั้นมีให้เลือกมากมายหลากหลายความสามารถ ซึ่งจะว่าไปแล้วก็เหมือนกับเราโหลด แอพ มาติดตั้งบน Google Chrome นั่นเอง ซึ่งนอกจากจะมีส่วนเสริมที่ช่วยเรื่องความสามารถในการใช้งานแล้ว ยังมีเกมให้เลือกติดตั้งมากมายอีกด้วย ซึ่งจุดนีี้เองที่ช่วยให้ Google Chrome กลายเป็น Browser ที่มีความสามารถมากที่สุดตัวนึงเลย
การตั้งค่าการใช้งานโปรแกรม
1. ตั้งให้เมื่อเรียกใช้งาน Chrome เปิดหน้าเว็บที่ต้องการแบบพร้อมกันหลายเว็บ
อย่างเช่น ตั้งให้พอเปิดขึ้นมา จะเข้าเว็บไซต์ Thaiware, Facebook, Hotmail ทันทีเลย สำหรับคนที่ต้องใช้งานเว็บไซต์เดิมๆ เป็นประจำ จะได้ไม่ต้องมาไล่เปิดทีละหน้าเว็บทุกวันครับ
วิธีการก็คือ เข้าไปตัวเลือก การตั้งค่า
การตั้งค่าการใช้งานโปรแกรม
1. ตั้งให้เมื่อเรียกใช้งาน Chrome เปิดหน้าเว็บที่ต้องการแบบพร้อมกันหลายเว็บ
อย่างเช่น ตั้งให้พอเปิดขึ้นมา จะเข้าเว็บไซต์ Thaiware, Facebook, Hotmail ทันทีเลย สำหรับคนที่ต้องใช้งานเว็บไซต์เดิมๆ เป็นประจำ จะได้ไม่ต้องมาไล่เปิดทีละหน้าเว็บทุกวันครับ
วิธีการก็คือ เข้าไปตัวเลือก การตั้งค่า
ไปที่ เริ่มต้น เลือก เปิดหน้าเว็บหรือชุดของหน้าเว็บเฉพาะ ตั้งค่าหน้าเว็บ
ใส่ URL ของเว็บไซต์ที่ต้องการให้เปิดลงไปครับ กี่เว็บก็ได้ แล้วกด ตกลง เท่านี้ก็เรียบร้อยครับ
ลองปิดแล้วเปิดทดสอบดู กด Chrome มี3 แท็บที่ตั้งไว้แล้วครับ
2. ปักหมุดหน้าเว็บ
การปักหมุดมีประโยชน์สำหรับการจดจำหน้าเว็บชั่วคราวเผื่อกันเราเผลอกดปิดไปโดยไม่ได้ตั้งใจ และยังใช้เป็นบุคมาร์คสำรองได้อีกด้วย
หมายเหตุ หน้าที่เราปักหมุดเอาไว้ เมื่อปิดบราวเวอร์ไปแล้ว เปิดขึ้นมาใหม่ก็จะยังอยู่นะครับ
วิธีการคือ กดคลิกขวาที่แท็บที่ต้องการปักหมุด กด ตรึงแท็บ ถ้าต้องการยกเลิกให้กดคลิกขวาอีกครั้งแล้ว กด ยกเลิกการตรึงแท็บ
การปักหมุดมีประโยชน์สำหรับการจดจำหน้าเว็บชั่วคราวเผื่อกันเราเผลอกดปิดไปโดยไม่ได้ตั้งใจ และยังใช้เป็นบุคมาร์คสำรองได้อีกด้วย
หมายเหตุ หน้าที่เราปักหมุดเอาไว้ เมื่อปิดบราวเวอร์ไปแล้ว เปิดขึ้นมาใหม่ก็จะยังอยู่นะครับ
วิธีการคือ กดคลิกขวาที่แท็บที่ต้องการปักหมุด กด ตรึงแท็บ ถ้าต้องการยกเลิกให้กดคลิกขวาอีกครั้งแล้ว กด ยกเลิกการตรึงแท็บ
3. สร้างไอคอนเป็นทางลัดสำหรับเข้าเว็บไซต์บนหน้าจอ Desktop
สำหรับเว็บที่ใช้ประจำ การสร้างไอคอนสำหรับเข้าเว็บโดยเฉพาะ จะเป็นทางเลือกที่ง่ายที่สุดในการเปิดหน้าเว็บครับ
วิธีการ คือ เปิดหน้าเว็บที่เราต้องการจะสร้างเป็นไอคอนบนหน้าจอขึ้นมา กดไปที่ เครื่องมือ แล้วกด สร้างทางลัดไปยังแอพฯ
สำหรับเว็บที่ใช้ประจำ การสร้างไอคอนสำหรับเข้าเว็บโดยเฉพาะ จะเป็นทางเลือกที่ง่ายที่สุดในการเปิดหน้าเว็บครับ
วิธีการ คือ เปิดหน้าเว็บที่เราต้องการจะสร้างเป็นไอคอนบนหน้าจอขึ้นมา กดไปที่ เครื่องมือ แล้วกด สร้างทางลัดไปยังแอพฯ
Chrome จะถามเราว่าจะสร้างทางลัดไว้ที่ไหนบ้าง เลือกตามที่ต้องการครับ
มาแล้วครับ สามารถกดเข้าเว็บ Thaiware ได้จากไอคอนนี้เลย ถ้าไม่ต้องการแล้วก็ลบทิ้งได้เลยครับ ไม่มีปัญหา
4. ใช้ Chrome เป็นเครื่องคิดเลข
ในช่อง URL เราสามารถคิดเลขได้ด้วยครับ
4. ใช้ Chrome เป็นเครื่องคิดเลข
ในช่อง URL เราสามารถคิดเลขได้ด้วยครับ
5. เข้าถึง Bookmarks, Downloads, History ของ Chrome อย่างรวดเร็ว
ในช่อง URL เราสามารถเข้าถึงเมนูของ Chrome ด้วยการกรอกที่อยู่ดังนี้ครับ chrome://bookmarks, chrome://downloads และ chrome://history และเราสามารถเพิ่มลงในแถบบุคมาร์คได้อีกด้วยครับ
ในช่อง URL เราสามารถเข้าถึงเมนูของ Chrome ด้วยการกรอกที่อยู่ดังนี้ครับ chrome://bookmarks, chrome://downloads และ chrome://history และเราสามารถเพิ่มลงในแถบบุคมาร์คได้อีกด้วยครับ
เทคนิคการใช้งาน Application
การใช้งาน Gmail
การใช้งาน Calendar
การใช้งาน Document
การใช้งาน Drive